เรื่องเล่าจากเชียงคาน

นิทาน ตำนานพระพุทธบาทภูควายเงิน กล่าวไว้ว่า สมัยพุทธกาลนานมาแล้ว มีนิทานพื้นบ้านเล่าสืบต่อกันมา บนไหล่เขาภูควายเงิน ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ มีรอยพระพุทธบาท ของสมเด็จพระพุทธเจ้าเหยียบอยู่บนก้อนศิลาใหญ่ก้อนหนึ่ง ประชาชนเชื่อกันว่าเป็นรอยพระพุทธบาทของจริงไม่ใช่ของจำลอง ดังมีตำนานกล่าวกันมาว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จเหยียบโลกและเผยแพร่พระพุทธศาสนา มายังแถบนี้เพื่อโปรดสัตว์ พระพุทธองคฺมีเมตตาจิตต่อมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงไหล่เขาพระองค์ได้นั่งพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่เพื่อสำราญพระทัย นายพรานป่าชอบอาศัยอยู่ในป่า เอาใบไม้และกิ่งไม้เป็นมุ้งม่าน เอาเดือนดาวเป็นแสงประทีบแทนโคมไฟ ส่วนอาหารประทังชีวิตนั้นมีเนื้อสัตว์ป่าต่างๆ ที่หามาได้ นานๆ จึงจะพบหมู่บ้านสักครั้งหนึ่ง จึงจะได้กินข้าวจากชาวบ้าน ในระหว่างที่กำลังออกล่าสัตว์อยู่นั้น ก็มองเห็นพระพุทธเจ้าประทับอยู่ใต่ต้นไทร พรานป่าไม่รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า เพราะไม่เคยเห็นว่าพระพุทธเจ้าว่ามีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งบุรุษผู้นี้มีรัศมีเปล่งปลั่งงดงามมาก พรานป่าก็เลยคิดว่าบุรุษผู้นี้ต้องเป็นผู้วิเศษเป็นแน่ ขณะที่นายพรานเดินเข้าไป พระพุทธเจ้ารู้แล้วว่า ชายคนนี้เป็นพรานป่า เมื่อเข้ามาใกล้พระองค์ พระพุทธเจ้าจึงร้องทักว่า “ดูก่อน พรานป่าผุ้มีใจอันโหดเ***้ยมเอย โยมมาจากไหนกัน” พรานป่าตอบไปว่า “ข้าจะเล่าให้ฟัง มนุษย์ที่มีหลายสีเอย คือเดิมทีบ้านข้าอยู่ที่บ้านอุมุง ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ และมีพี่น้องร่วมกันสองคนเป็นชายทั้งสองคน ส่วนบิด มารดาของข้าได้ตายจากไปตั้งแต่ข้ายังเล็กๆ อยู่ พี่ชายของข้าเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดู พอข้าเติบใหญ่ ยองธนูเป็น ก็ลาพี่ชายเข้าป่าเป็นพรานป่าล่าสัตว์ไปไม่รู้จุดหมายปลายทาง โดยยึดเอาป่าเขาลำเนาไพรเป็นที่พัก”

ท่านผู้มีหลายสีเอย แล้วท่านเป็นใครมาจากไหนกันเล่า พระองค์จึงตอบว่า เรามาจากกรุงสาวัตถี พรานป่าถามว่า อยู่ไกลจากนี้เท่าใด พระพุทธเจ้าตอบว่า ไกลประมาณพันโยชน์ (1 โยชน์ เท่ากับ 400 เส้น) ท่านผู้มีหลายสีเดินทางมากี่วัน จึงได้มาถึงยอดเขานี้ พระพุทธเจ้าตอบว่า เราเสด็จมาจากกรุงสาวัตถีก็ชั่วพริบตาเดียวก็มาถึง ถ้าอย่างนั้น ข้าขอให้ท่านเดินทางไปล่าสัตว์กับข้าด้วย เวลาข้ายิงสัตว์บางตัวไม่ตายกับที่ ท่านจะได้ช่วยไล่จับได้ทัน เพราะท่านวิ่งเร็ว และถ้าจับได้มากๆ เอาเนื้อไปขายคงจะร่ำรวบเป็นแน่ เพราะฝูงสัตว์ป่าบนไหล่เขานี้มีมากนัก พอได้ยินนายพรานเชิญชวนเช่นนั้น พระพุทธองค์ก็ยิ้ม แล้วตอบนายพรานไปว่า เราจะไปเป็นนายพรานเหมือนท่านไม่ได้ คือเราผู้มีหลายสีนี้เป็นผู้โปรดสัตว์ คือไม่ฆ่าสัตว์ และเราก็เป็นครูของมนุษย์ เทวดา และหมู่สัตว์ พูดอีกอย่างหนึ่งว่า เราเป็นศาสดาเอกของโลก หมู่สัตว์ในโลกนี้ต้องพึ่งพาอาศัย ใครๆ ก็รักชีวิตเหมือนกันทั้งนั้น นายพรานอยากฟังพระธรรมเทศนาไหม เราจะแสดงให้ฟัง นายพรานตอบว่า อยากฟัง พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า ก่อนจะฟังพระธรรมเทศนา ขอให้นายพรานนั่งลงประนมมือทั้งสองไว้ระหว่าอก นายพรานก็ทำตามที่บอกไว้ทุกประการ นายพรานนั่งรับศิล ฝึกนั่งสมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญา พรานป่าก็ตั้งใจฟังกรัแสธรรมเทศนาของพระองค์ ในที่สุดดวงตาของนายพรานก็มองเห็นธรรม ได้บรรลุโสดาปฏิผล นายพรานจึงเกิดความเชื่อ และความเลื่อมใสศรัทธา นายพรานจึงขออุปสมบทบวชเป็นพระภิกษุ พระองค์ทรงอนุญาตและบวชให้ โดยกล่าวคำปฏิญาณว่า ท่านจงเป็นเอหิภิกษุมาเถิด เมื่อนายพรานได้เป็นพระภิกษุแล้ว ไดด้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย รักษาศิล บำเพ็ญตน จนได้บรรลุพระอรหันต์ พอเมื่อตนได้รู้ธรรมแล้วว่า ความโกรธ ความโลภ ความหลง เป็นมลทินอย่างแรงกล้า จึงคิดถึงพี่น้องของตนที่ยังหมกมุ่นอยู่ในมลทิน อันได้แก่ พี่ชาย และหมู่ชาวบ้านเหล่านั้น พระชีวพินพรานป่า จึงขอนิมนต์พระองค์ไปเศนาโปรดญาติโยมพี่น้องข้าที่บ้านอุมุงด้วย

พระองค์ตอบว่า ดูก่อน พระชีวพินพรานป่าเอย เราพระองค์แพระสงฆ์สาวกจะได้ทำพิธีสังคายนาอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ พระองค์จะต้องรีบกลับไปทำสังคายนา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เราตถาตคจะขัดนิมนต์ของท่านพระชีวพินพรานป่าก็หาไม่ พูดจบพระองค์ก็เสด็จลงจากยอดเขา เพื่อโปรดสัตว์ได้บิณฑบาตมาถึงบ้านอุมุง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนชิงเขาภูควายเงิน ราษฎรในหมู่บ้านสมัยนั้นไม่รู่รู้จักพระพุทธเจ้า พระองค์ออกเดินบิณฑบาตไปไม่มีใครใส่บาตร ครั้นบิณฑบาตออกพ้นหมู่บ้านถึงทุ่งนาแห่งหนึ่ง จึงพบชาวนาสองผัวเมีย กำลังไถนาอยู่ ชาวนามองเห็นพระพุทธเจ้าเดินเข้ามาหา ชาวนาทั้งสองยังไม่เคยพบเห็นพระพุทธเจ้า สองผัวเมียจึงปรึกษากันว่า คนๆนี้มีรูปร่างแปลกประหลาดดี คงมาจากถิ่นอื่น ขณะนี้ก็สายแล้ว คนผู้นี้คงหิวโหยเป็นแน่ เราสองผัวเมียควรจะเอื้อเฟื้อให้อาหารสักเมื้อหนึ่ง สองผัวเมียจึงเรียกให้พระพุทธเจ้าว่า ท่านผู้ห่มผ้าดำคล้ำเอย จงมาพักกระท่อมนาหลังน้อยก่อน ฝ่ายเมียก็เข้าครัวทำกับข้าวเสร็จ ก็จัดมาให้กิน พอพระพุทธเจ้าฉันอาหารเสร็จ พระองค์จึงถามสองผัวเมียว่า ชีวพินพรานป่านั้นมาญาติของโยมหรือ ชาวนาผู้เป็นชาวนาจึงตอบว่า เป็นน้องชายของข้าเอง พูดแล้วชาวนาน้ำตาไหลรินคิดถึงน้องชาย ชาวนาจึงยกมือประนมไหว้ ท่านผ้ห่มผ้าดำคล้ำเอย น้องชายชีวพินเติบใหญ่ยิงธนูเป็น ก็หนีเข้าป่าไม่รู้ว่าไปแห่งหนตำบลใด ทำอย่างไรข้าจึงจะได้พบน้องชายของข้า หรือว่าท่านผู้ห่มผ่ดำคล้ำเคยพบเห็น และข้าจอสั่งให้ไว้ ถ้าท่านพบเห็นน้องชีวพินที่ไหนก็ตาม ให้นำตัวมาพบข้าด้วย พอชาวนาพูดจบ พระพุทธองค์จึงตอบชาวนาว่า น้องชายของโยมที่ชื่อว่าชีวพินพรานป่าเราพระองค์ได้พบที่บนไหล่เขาดอยจารี ซึ่งในขณะนั้นชีวพรานป่าเป็นพรานป่า เราพรองค์ได้แสดงธรรมเทศนาให้ฟังแล้ว น้องชายของท่านได้บรรลุโสดาปฏิผล และได้นำตนเข้าบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา แล้วจึงขอร้องให่ราคาคตให้ไปโปรดโยมพี่ชายด้วย พระชีวพินคงจะกลับลงมาไม่ได้ พระชีวพินได้หลุดพ้นจากบ่วงมารแล้ว ถึงแม้พระองค์จะสักกี่ครั้งก็ตาม ชาวนาสองผัวเมียก็หาเชื่อไม่ สองผัวเมียไม่เข้าใจเลยว่าพระองค์แสดงธรรมเทศนาอะไรก็ไม่รู้ เพราะเราไม่เคยได้ยินได้ฟังคำพูดอย่างนี้ และก็ไม่เคยเหนใครนุ่งผ้าดำคล้ำอย่างนี้ โดยชาวนาคิดว่าน้องชายของตนได้สิ้นชีวิตไปแล้ว โดยตกเป็นอาหารของนางยักษ์ เพราะยักษ์ตนนี้ ถึงวัน 7 ค่ำ 8 ค่ำ หรือ 14 ค่ำ 15 ค่ำ มันจะแปลงตัวมาเป็นสาวสวยๆ มาหลอกเอาชายหนุ่มไปกินเสมอ ถ้าไม่เอาชายหนุ่มที่บ้านอุมุง ก็ไปเอาชายหนุ่มที่บ้านท่านาสีดา บ้านผาแบ่น หรือบ้านบุฮม เหล่านี้เป็นต้น สองผัวเมียก็คิดไปหลายแง่หลายมุม โดยคิดร้ายต่อพระองค์ด้วย โดยคิดว่าท่านผู้ห่มผ้าดำคล้ำนี้ คงเป็นนางยักษ์แปลงมาแน่ๆ ซ้ำยังรู้จักชีวพินพรานน้องชายของเราด้วย มันคงเอาไปกินป็นอาหารแล้ว พอกินน้องชายเราแล้วมันก็กลับมาแปลงกลายมาหลอกกินพวกราอีก ยิ่งคิดยิ่งสะเทือนใจยิ่ง และก็กลังมากจนตัวสั่น จึงพากันกัดฟฟันแข็งใจพูดกับพระองค์อย่างเลื่อนลอย พอพระองค์เบือนหน้าไปทางอื่น สองผัวเมียก็ค่อยกระซิบกันเป็นความลับ เพื่อจะวิ่งหนีจากพระองค์ เพราะสองผัวเมียเข้าใจว่าพระองค์เป็นยักขินี ที่อาศัยอยู่ในถ้ำผาแบ่น จึงหาทางหลบหนี พอได้ช่องทาง ชาวนาผู้สามีก็ออกอุบายว่าควายกินกล้าที่ปลายนาจะไปไล่ก่อน แล้วก็วิ่งออกไปยังปลายนา ครั้นชาวนาผู้สามีวิ่งไปนานไม่กลับมา ฝ่ายเมียก็ออกอุบายว่า สามีนานมาเช่นนี้น่ากลัวจะถูกควายขวิดตาย จึงขอออกไปติดตามดู แล้วสองผัวเมียก็เข้าป่าหายไป ปล่อยให้พระพุทธเจ้านั่งอยู่ในกระท่อมนาคนเดียว

 
สองผัวเมียเมื่อพบกันแล้ว ก็ออกวิ่งไปข้างหน้าอย่างเต็มที่เพื่อพ้นจากพระพุทธเจ้า ที่เข้าใจว่าเป็นยักษ์
แปลง แต่ด้วยเดชบารมีของพระองค์ตั้งใจจะมาโรดชาวนาสองผัวเมียตามคำนิมนต์ของพระชีวพินอยู่แล้ว เมื่อเวลา
โปรดจึงย่นแผ่นดิน เดินเข้ามาหาพระองค์ให้ใกล้ที่สุด แต่สองผัวเมียวิ่งไปได้เวลาแสดงธรรมของเราอยู่แล้ว เขา
คงจะไม่เลื่อมใสต่อเรา ผู้เป็นตถาคตเป็นแน่ เพราะสองผัวเมียมีจิตใจเข้มแข็งไม่เชื่อง่าย และไม่เคยเห็น พระองค์
มาก่อน พระองค์จึงเปล่งรัศมีออกมาเป็นสีหลายสี เช่น สีแง สีเขียว สีขาว สีน้ำเงิน ขึ้นสลับซับซ้อนตระการตาน่าดู
ยิ่งนัก ต่อจากนั้นพระองค์ยังได้เปิดหู เปิดตา ได้ยินเสียงที่ไพเราะและเสียงที่น่ากลัวจากทั้งสี่ทิศและให้ให้เห็น
เมืองนรก สวรรค์ สองผัวเมียเมื่อได้ดูด้วยตา ได้ฟังด้วยหูของตัวเองแล้ว ก็พากันพูดว่า ท่านผู้นี้คงไม่ใช่นางยักษ์
ขินีแน่ ชาวนาทั้งสองจึงกราบเรียนกับพรองค์ขอให้พรองค์ท่านแสดงธรรมเทศนา พระองค์ทรงแสดงธรรม สองผัว
เมียเมื่อได้ฟังการแสดงธรรมก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระธรรมเทศนา ในที่สุดสองผัวเมียก็บรรลุโสดาปฏิผล
รู้จักต้นสายปลายเหตุ มีดวงตาเห็นธรรม สองผัวเมียจึงรู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าและได้ขอปฏิญาณตนเข้าเป็นพุทธมา
มะกะตลอดไป จนกว่าจะดับขันธ์ พระพุทธองค์จึงถามว่า แล้วที่โยมมทั้งสองวิ่งหนีเราไปนั้นเพราะเหตุใด ชาวนาสองผัวเมียตอบว่า ท้องถิ่นหมู่บ้านนี้มีนางยักษ์ขินี (แม่หม้าย) แปลงตัวมาลักจับคนในหมู่บ้านไปกินอยู่เสมอ
ดังนั้นข้าและเมียเข้าใจว่านางยักษ์ยีนีแปลงตัวมาหลอกพวกข้าจึงวิ่งหนีพระองค์ไป พระพุทธเจ้าถามว่านางยักษ์ขีนี
นั้นอยู่ที่ไหน ชาวนาสองผัวเมียตอบว่ามันอยู่ในถ่ำผาแบ่น เมื่อถึงวันแปดค่ำ สิบห้าค่ำ มันก็แปลงตัวเหมือนกับสาว
สวย เพื่อมาหลอกเอาชายหนุ่ม พวกชายหนุ่มก็หลงรักมัน มันเลยล่อลวงไปไปครั้งละ เจ็ด แปด คน พอไปถึงถ้ำ
ที่อยู่อาศัย จึงให้พวกชายหนุ่มเหล่านั้นบำเรอกามสวาทให้มัน แล้วมันก็จับฉีกเนื้อกินป็นอาหาร บางคนก็หนีรอด
มาได้ เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องแล้ว พระองค์คิดว่ายักษ์ตนนี้ร้ายกาจมาก ถ้าเราไม่อบรมสั่งสอนแล้ว
มนุษย์ในแถบนี้คงจะถูกนางยักขีนีกินหมด กล่าวถึงเทวดา นางไม้ซึ่งอาศัยอยู่ตามต้นไม้และภูเขา ครั้นได้ฟังพระ
ธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมให้ชาวนาสองฟัง ก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา พอใกล้ถึงวันเจ็ดค่ำ แปด
ค่ำ แล้วนางยักษ์จะออกมาจับมนุษย์ไปกิน พระพุทธจ้าจึงให้เทวดา นางไม้ได้พากันกวาดต้อนเอาชาวบ้านใน
หมู่บ้านอุมุง บ้านผาแบ่น บ้านบุฮม บ้านท่าสีดา มารวมกันไว้ของสองผัวเมียเชิงภูควายเงิน และให้ทุกคนจัด
ดอกไม้ธูปเทียนบูชา เราผุ้เป็นเทวดาจะนำพวกท่านไปคารวะครูของเราคือพระพุทธเจ้า พระองค์ได้เสด็จมาโปรด
พวกเราแล้ว พระองค์จึงเทศนาให้ชาวบ้านฟัง ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสในพระธรรมวินัยเป็นอย่างดี

ฝ่ายนางขีนี พอถึงวันแปดค่ำมันก็ออกอาหารไปที่หมู่บ้านอุมุง บ้านผาแบ่น บ้านบุฮม บ้านท่าสีดา นาง
ยักษ์ขีนีไม่พบชาวบ้านแม้แต่คนเดียว เห็นแต่บ้านร้าง นางยักษ์ขีนีรู้สึกแปลกใจ วันนี้อาหารยังไม่ตกท้องลย มัน
โมโหโกธรมาก มันร้องประกาศว่า วันนี้จะพบผู้ใดก็ตาม หนุ่มหรือแก่ เราจะจับกินหมด พระพุทธเจ้าท่านรู้ด้วย
ญาณวิเศษว่า นางยักษ์ขีนีจะมาที่นี้ พระองค์จึงเตือนพวกชาวบ้านว่า ถ้าหากนางยักษ์ขีนีมาหาพวกเรา ก็ขอให้
พวกเราอยู่อย่างสงบอย่าได้ตื่นตกใจ เราจะทรมานนางยักษ์ขีนีให้ยอมจำนนเสียก่อน ขณะนางยักษ์ขีนีเดินเข้ามาหาพระพุทธองค์ แต่นางยักษ์ก็ข้าใกล้พระพุทธองค์ไม่ได้ พราะแพ้แสงรัศมีของพระองค์ เกิดอาการอ่อนเพลีย กระดุกกระดิตัวไม่ได้เลยนั่งทรุดลงอยู่กับที่ ส่งเสียงร้องดิ้นรนอยู่กับพื้นดิน นางยักษ์ได้สติรีบอ่านคาถาเวทย์มนต์ก็แก้ไม่ได้ เมื่อพระองค์ได้ทรมานนางยักษ์ขีนีอันที่เธอต้องดิ้นรนอยู่บนพื้นดินพอสมควรแล้ว พระองค์ก็พูดกับนางยักษ์ขีนีว่า ดูก่อนนางยักษ์อันที่เธอต้องดิ่นรนอยู่บนพื้นดิน นั้นเธอเป็นอะไรหรือ นางยักษ์ตอบว่า ข้าพแต่พระพุทธองคู้เจริญ ข้าเป็นนางยักษ์แม่หม้าย จะมาจับมนุษย์ที่นั่งอยู่อยู่เป็นกลุ่มนี้ไปกินเป็นอาหาร แต่ตัวข้าไปถูกแสงรัศมีของพระองค์ท่าน จึงทำให้หมดกำลังอ่อนเพลียไปหมดทั้งตัวแทบเอาชีวิตไม่รอด ขอให้พระองค์ช่วยเมตตากรุณาฉันบ้างเถิด พระองค์จึงบอกว่า เจ้าจงลุกขึ้นเถิด เราจะแสดงธรรมเทศนาให้ฟัง นางยักษ์ก็หายอ่อนพลียลุกขึ้นนั่งได้ อาการเจ็บปวดต่างๆก็หายไป นางยักษ์จึงหมอบคลานเข้าหาพระองค์ พระองค์จึงให้นางยักษ์ประนมมือรับศิลห้า และฟังการแสดงพระธรรมเทศนาให้นางยักษ์ฟัง นางยักษ์เกิดดวงตาสว่างเห็นพระธรรมเกิดความเลื่อมใสศรัทธา มีความปิติยินดีเป็นล้นพ้น จึงขอปฏิญาณตนยอมเป็นทายิกาอีกคนหนึ่ง พระองค์จึงถามนางยักษ์อีกว่า เจ้ารู้แล้วหรือ นางยักษ์ตอบว่า ข้ารู้แล้วข้าขอบวชเป็นนางชี พระองค์อนุญาตและให้บัญญัติ รักษาศิลแปด ตั้งแต่นั้นมานางยักษ์ขีนีก็ได้บวชเป็นนางชี พระองค์เห็นว่านางยักษ์คนนี้ชอบเครื่องเขียวและผิวพรรณวรรณะก็เขียว พระองค์จึงตั้งชื่อให่ใหม่ว่า นางเขียวค้อม พระองค์ได้โปรดนางยักษ์เสร็จแล้ว พวกชาวบ้านก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะต่อไปนี้หมู่บ้านในแถบนี้จะได้มีความสุข ไม่หวาดระแวงเหมือนดังก่อน พระองค์ได้โปรดสัตว์และมนุษย์หมดแล้ว พระองค์ก็บอกว่า บัดนี้ ถึงเวลาที่เราจะกลับไปกรุงสาวัตถีแล้ว ชาวนาสองผัวเมีย และชาวบ้าน นางยักษ์ขีนี ได้พากันขอร้องพระองค์ท่านว่าขอให้พระองค์ท่านทำรูปสัญลักษณ์สิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้ เพื่อเป็นที่สักการบูชาไว้ให้ข้าด้วยเถิด พอพระองค์ทราบว่าสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ทายกทายิกานั้นก็คือ เราตถาคตประทับรอยพระพุทธบาทไว้ให้ เพื่อแทนตัวเรา เมื่อเราได้ประทับรอยพระพุทธบาทแล้ว ขอให้ท่านพุทธสาธุชนทั้งหลาย ได้บอกกล่าวกันไปต่อว่า ผู้ใดมีศรัทธาได้สร้างพระธาตุเจดีย์ ก่อครอบรอย(กวมรอย)เราได้บุญ คนผู้นั้นตายไปจะได้ไปเกิดบนสวรรค์ มีวิมานทองเป็นที่อยู่และมีนางฟ้าเป็นบริวาร หรือบุคคลใดมีศรัทธาเอาแผ่นทองไปปิดประทับรอยองค์พระตถาคตให้สวยงามบุคคลผู้นั้น ตายไปก็จะได้เกิดบนสวรรค์ บุคคลนั้นก็จะมีผิวพรรณณเปล่งปลั่งเหมือนดวงจันทร์ และเป็นผู้สง่าราศี ใครเห็นใครก็รัก ใครเห็นใครก็ชอบ บุคคลใดชักชวนญาติพี่น้อง มานมัสการกราบไหว้รอยพระพุทธบาท จะได้มีความสุขกาย สุขใจ จะไปไหนมาไหน พอนึกก็ถึงจุดมุ่งหมาย และนึกอยากได้อะไรก็ตามความมุ่งมาดปราถนา และบุคคลผู้ใดได้นำข้าว โภชนาการมาถวายทาน (ตั้งโรงทาน) ในงานบุญพระพุทธบาทนี้ ก็ขอให้เกิดบนสวรรค์ชั้นฟ้า สามารถต้านทานศรัตรูหมู่มารไปทั่วสารทิศ เมื่อพระองค์ได้กล่าวเสร็จแล้วก็เสด็จขึ้นไปยังเชิงเขาภูควายเงิน หาพื้นที่อันสมควร แล้วพระองค์ก็ประทับรอยพระบาทไว้บนหินก้อนใหญ่ เสร็จแล้วพระองค์ก็สด็จลงมา

ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะจากพวกญาติโยมไปเมืองสาวัตถี พระพุทธเจ้าจึงได้สาปนางชียักษ์ขีนี เป็นหินอยู่ในถ้ำผาแบ่น เป็นหินอยู่ในถ้ำผาแบ่น ไปจนกว่าจะสิ้นอายุพระศาสดามีกำหนดห้าพันปี เพราะองค์ไม่เชื่อใจนางยักษ์ขีนี แล้วพระองค์ก็อำลาญาติโยมและเหล่าเทวดาที่มาเฝ้ากลับกรุงสาวัตถี ส่วนชาวนาสองผัวเมีย เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จกลับไปแล้ว รุ่งขึ้นตอนเช้ามองออกไปยังทุ่งนา เห็นก้อนขี้ไถเหลืองอร่ามเต็มท้องนา จึงเดินไปจับดูปรากฏว่าก้อนขี้ไถเป็นทองคำ ขาวนาทั้งสองผัวเมียดีใจ ปลูกยุ้งฉางขนทองมาเก็บไว้สามยุ้งฉาง ประมาณน้ำหนักหลายหมื่นกิโลกรัม เหตุที่เป็นดังนี้ เนื่องมาจากชาวนาสองผัวเมียชาวนาทำบุญถวายทานในวันที่พระพุทธเจ้ามาโปรด คืดจัดอาหารถวายพระองค์ ต่อมาชาวนาสองผัวเมียได้นำทองคำที่ได้ทำบุญทำทานอแจกจ่ายให้แก่ชาวบ้านอุมุง บ้านผาแบ่น บ้านบุฮม ทุกหลังคาเรือน คนละเล็กคนละน้อย ชาวบ้านทั้งสามหมู่บ้านดีใจให้ศิลให้พร แต่ละปีพอถึงวันเพ็ญ เดือนสาม ชาวนาสองผัวเมีย ก็เชิญชวนชาวบ้านทำบุญไหว้พระพุทธบาทสืบมาจนทุกวันนี้ ส่วนชาวนาสองผัวเมียชาวบ้านตั้งชื่อให้ใหม่ว่า ท่านเศรษฐีพ่อนาอุ่ม เรื่องราวที่เล่านมานี้ คุณตาสุวรรณ คงปิ่นได้ยินคนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟัง บันทึกเอาไว้ ให้สู่ลูกหลานได้อ่านต่อๆกันไปและมัคคุเทศก์ก็เล่าให้นักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวบ้านเราให้ฟังด้วย

“ตาจึ่งคึ่งดังแดง นอนตะแคงค้ำฟ้า เด็กน้อยไปเล่นหมากบ้าอยู่ในฮูดัง”

…ท่อนหนึ่งของเนื้อร้องเพลงพื้นบ้านที่เล่าถึงตำนานของตาจึ่งคึ่ง ผู้ทอดร่างนอนตายในท่าคุดคู้ จนกลายมาเป็นแก่งหินขนาดใหญ่ทอดตัวขวางเป็นเขื่อนกั้นลำนำโขง ทำให้เกิดเป็นกระแสน้ำวนที่เชี่ยวกราดและเป็นอุปสรรคในการสัญจรไปมาในช่วงฤดูแล้ง
…จินตนาการที่เป็นตำนานความเชื่อ ผสานกันอย่างลงตัวกันความความแปลกประหลาดของธรรมชาติ ความงดงามดังกล่าว ทำให้แก่งคุดคู้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเลย
…ที่มาของตาคึ่งคึ่งดังแดง นายพรานรูปร่างสูงใหญ่ ถึงขนาดที่เด็กๆ สามารถเข้าไปเล่นสะบ้าในรูจมูกได้ ย่อมไม่ธรรมดา ถึงขั้นที่เรียกได้ว่า “ใหญ่ยิ่งกว่ายักษ์”

ตำนานความเชื่อเรื่องยักษ์ ?
…ตามความหมายในพจนานุกรม ยักษ์ คืออมนุษย์พวกหนึ่ง มีรูปร่างใหญ่โตน่ากลัว มีเขี้ยวงอก ใจดําอํามหิต ชอบกินมนุษย์ กินสัตว์ โดยมากมีฤทธิ์เหาะได้จําแลงตัวได้ บางทีใช้ปะปนกับคําว่า อสูร รากษส และมาร บางความหมายแปลว่าเทวดาพวกหนึ่งในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกและชั้นปรนิมมิตวสวัตดี แต่ความเข้าใจของคนส่วนมาก คำว่ายักษ์จะสื่อความหมายไปในทางลบ เช่น คนที่มีจิตใจโหดร้ายก็เรียกคนใจยักษ์ หน้ายักษ์ หรือบางครั้งก็ใช้สื่อความหมายของลักษณะที่ใหญ่โตทางลบ เช่น คลื่นยักษ์อย่างสึนามิ เป็นต้น
…ท้าวกุเวรหนึ่งในสี่จตุโลกบาล ผู้ที่เป็นหัวหน้าคอยปกป้องดูแลโลกและทิศทั้งสี่ หรือแม้แต่พระพุทธศาสนาที่เรามักเห็นรูปปั้นยักษ์ถือกระบองเฝ้าประตูโบสถ์ นัยว่ายักษ์จะทำหน้าที่ช่วยปกป้องรักษา ขับไล่ภูติผี ความชั่วร้ายต่างๆ แม้ในต่างประเทศเองก็มีตำนานเรื่องยักษ์ อย่างยักษ์จีนี่ของอาหรับที่คอยดูและรับใช้อาลาดิน เรียกได้ว่าแทบทุกชาติ ทุกท้องถิ่นในโลกนี้ ต่างมีเรื่องเล่าในเชิงตำนานเกี่ยวกับยักษ์แทบทั้งนั้น แม้หรือในหนังยอดมนุษย์ที่เราเคยดูกันตอนเด็กๆ ก็ต้องแปลงร่างให้กลายเป็นยักษ์เพื่อต่อกรกับสัตว์ประหลาด (555)
…ยักษ์จึงไม่ได้แสดงความหมายในทางลบเสมอไป…

…ขอน้อมคารวะในจินตนาการ ระดับความยิ่งใหญ่เสมอยักษ์แด่บรรพบุรุษ ผู้ซึ่งรังสรรเรื่องราวของพรานป่าจมูกแดง (จึ่งคึ่ง)
ต้นกำเนิดแห่งตำนานแก่งคุดคู้ ในฐานะลูกหลานเชียงคาน บางทียักษ์ตนนี้จะสร้างความยิ่งใหญ่ให้เมืองเชียงคานเป็นเมืองที่มีเสน่ห์เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป

…บรรพบุรุษ สร้างตำนานตาจึ่งคึ่งดังแดงเอาไว้เป็นมรดกแล้ว ลูกหลานเชียงคานล่ะ ! วาดภาพตาจึ่งคึ่งดังแดงในจินตนาการของท่านไว้อย่างไรบ้าง?

ขอขอบคุณที่มา นิทาน ตำนาน พระพุทธบาทภูควายเงิน เอาไว้อ่านเล่าให้ลูกหลานฟังต่อ – thai chiangkhan

ใส่ความเห็น